Monday, 25 March 2013

อะไรคือ Lie Detector ( Polygraph )

คดี : อะไรคือ Lie Detector ( Polygraph ) ?

เป็นที่ทราบกันดีเกี่ยวกับเครื่องใช้ในการสอบสวนประกอบการพิจารณาคดี และมันก็กำลังเป็นหัวข้อที่พวกเราต่างก็พูดถึงกันอยู่ในเวลานี้ แต่ที่จะมาพูดถึงนี้เพียงอยากจะมาเล่าถึงความถูกต้องแม่นจำที่ได้ไปลองค้นคว้ามาให้เราได้รับทราบกัน ไม่ใช่เกี่ยวกับผลของคดีที่กำลังเกิดขึ้น เพราะเราจะไม่เชื่อถืออะไรทั้งสิ้นจนกว่าจะได้ยินคำยีนยันออกมาอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือใครที่เกี่ยวข้องกับดคีเท่านั้น

จะขอนำเอาบางส่วนที่ไปอ่านเจอมาเล่าสู่กันฟังดังนี้



1. American Psychological Association, August 5, 2004จากสมาคมจิตแพทยของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือน สิงหาคม ปี 2004


A 1997 survey of 421 psychologists estimated the test's average validity at about 61%, a little better than chance. And University of Utah psychologists published a 1994 report that suggested biting your tongue, pressing your toes to the floor and counting backwards by 7's during control questions would screw up the accuracy of polygraphs.

ในปี 1997 จากการสำรวจจากจิตแพทย์กว่า 421 คนเพื่อหาค่าเฉลี่ยของความถูกต้องได้ประมาณ 61% ดีกว่าที่น่าจะเป็น และหนังสือของชมรมจิตแพทย์ในรัฐ Utah เมื่อปี 1994 ได้กล่าวว่า " เพียงการกัดริมฝีปาก , กดปลายเท้าไปที่พื้นห้อง และ การนับเลขถอยหลังทีละ 7 ( NK : เช่น 49,35,28, 21 ... ) ระหว่างที่มีการตั้งคำถามก็สามารถที่จะก่อปัญหาความถูกต้องแม่นยำของเครื่องได้แล้ว

2. usatodayจาก USA Today 

Perversely, the "test" is inherently biased against the truthful, because the more honestly one answers the "control" questions, and as a consequence feels less stress when answering them, the more likely one is to fail. Conversely, liars can beat the test by covertly augmenting their physiological reactions to the "control" questions. 

การทดสอบนั้นมีพื้นฐานที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านกับความเป็นจริง เพราะฉนั้น คนที่ซื่อสัตย์นั้นเมื่อถูกตั้งคำถามที่เรียกว่า Control question " ก็จะมีอาการที่ผ่อนคลายในขณะที่ตอบคำถามนั้น แต่กลับเป็นว่าจะมีโอกาสที่จะสอบตก ( False ) มากขึ้นไปอีก แต่ในทางตรงกันข้าม พวกโกหกเก่ง สามารถที่จะเอาชนะการทดสอบเหล่านี้โดยการควบคุมอาการตอบสนองทางจิตในคำถามลักษณณะ " Control question " ได้ดีกว่า


3. https://antipolygraph.org/จาก antipolygraph.org

The dirty little secret behind the polygraph is that the "test" depends on trickery, not science. The person being "tested" is not supposed to know that while the polygraph operator declares that all questions must be answered truthfully, warning that the slightest hint of deception will be detected, he secretly assumes that denials in response to certain questions -- called "control" questions -- will be less than truthful. An example of a commonly used control question is, "Did you ever lie to get out of trouble?" The polygrapher steers the examinee into a denial by warning, for example, that anyone who would do so is the same kind of person who would commit the kind of behavior that is under investigation and then lie about it. But secretly, it is assumed that everyone has lied to get out of trouble.

ความลับที่สกปรกเล็กๆน้อยๆของการทดสอบโดย Polygraph นั้นมันเป็นเรื่องการเล่นแง่กับคำถาม มันมไม่ใช่เป็นเรื่องของทางหลักวิทยาศาตร์แต่อย่างใด คนที่ถูกสอบไม่ควรที่จะทราบว่าผู้ทำการสอบจะออกมาบอกว่าคำถามทั้งหมดจะต้องตอบตามความจริงทั้งหมด การเตือนล่วงหน้าเช่นนั้นเท่ากับเป็นการเกริ่นอยู่กรายๆว่าคำสารภาพอาจจะถูกจับได้ในระหว่างการทดสอบ -- เขาผู้นั้นก็จะคิดไปเองว่าการตอบปฏิเสธในคำถามที่เรียกว่า " Control Question " จะทำให้ความจริงนั้นด้อยค่าลง ( หรือไม่เป็นความจริงนั้นเอง ) ดังเช่นคำถามที่ถูกใช้ใน Control Question เสมอๆก็คือ " คุณเคยโกหกที่จะได้หลุดพ้นจากปัญหาใดๆมาก่อนบ้างไหม ? " คนถามเท่ากับได้ทำให้เตือนคนผู้ตอบให้ต้องปฏิเสธออกไป เช่น ถ้าคุณเคยทำอย่างนั้นมาก่อนคุณก็คือคนเดียวกับที่อาจจะทำผิดในพฤติกรรมเดียวกันกับที่ตำรวจได้กำลังทำการสอบสวนอยู่ แต่คุณโกหกเกี่ยวกับมัน แต่ความลับก็คือ มันก็รู้กันอยู่ว่าคนทุกคนก็ต้องเคยโกหกกันมาแล้วทั้งนั้นเพื่อที่จะเอาตัวเองออกจากปัญหานั้นๆไปให้ได้



เมื่อได้อ่านบทความสั้นๆที่เอามาลงนี้แล้ว เราลองมาดูกันว่ามันจะใช้กับในกรณีที่พวกเรากำลังใจจรดใจจ่อกันได้อย่างไร

1. ถ้าความน่าเชื่อถือมีเพียง 61 % ก็โชคดีที่มันไม่สามารถเอามาเป็นหลักฐานประกอบคดีได้ เพราะเราต้องการทุกอย่างที่มีการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง 100% เท่านั้น ใช่ไหม ?


When you read this short article that I released it. Let's see what it will take in the case that we are monitoring each other.

1. If there is only 61% reliable, it's fortunately that it cannot be taken as evidence against them because we want everything to be 100% proof that is true?


2. ใครกันที่ชอบกัดริมฝัผากอยู่ตลอดเวลาในทุกครั้งที่เขาถูกสัมภาษณ์ทาง TV เราคงไม่จำเป็นต้องมี100 หรือ 1000 VDO กับภาพการให้สัมภาาณ์ของเขาก็คงทราบกันดีว่า สิ่งนี้กลายเป็นบุคลิกส่วนตัวของเขามานานนมแล้ว และเราทราบดีว่าเขาเป็นคนที่กลัวกล้องและขี้อายแค่ไหน แถมถ้าเป็นเราบ้างมันจะหระสามกินและเครียดแค่ไหน กับทุกคำพูดคำถามที่อาจเป็นความเป็นความตายของชีวิตของเขาได้เช่นนั้นเราจะไม่แปลกใจเลยที่เขาจะทำอาการเดียวกันในขณะที่ถูกสอบและตั้งคำถามอยู่อย่างนั้น และเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ทราบเลยถึงบุคิกของเขาในส่วนนี้ อาจเข้าใจอาการของเขาในความหมายที่ผิดๆได้

2.Who usually do like biting his lip every time while he was interviewed on TV, we do not need a 100 or 1000 VDO Interview and well known that is his personal characteristics for a long time and we know that he is to shy in front of camera. But if we do it, how will we feel stress. With all of the question may be his death , so we don’t surprise that he would do the same symptoms as the examination and questioning in the case and officials who did not know him in this part will be misunderstand. 


3. ยิ่งซื่อสัตย์เท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะสอบไม่ผ่านได้มากขึ้นเท่านั้น และคนโกหกนั้นสามารถเอาชนะเครื่องนี้ได้โดยการควบคุมอาการทางจิตของพวกเขาได้ดีกว่า ( NK : เพราะโกหก จนเป็นนิจ หรือ เป็นโรคจิตขั้นร้ายแรงที่ไม่ยอมรับรู้กับความจริงที่เกิดขึ้น แต่กลับเช่ือว่าสิ่งที่ตนต้องการจะเชื่อนั้นคือความจริง 

3. Extremely honest it was more likely to fail at times. While a liar can be more overcome by mental control. (NK: She was lie constantly, or serious mental disorder that does not acknowledge the fact but to believe that what they want to believe is true.


4. คำถามที่เรียกว่า " Control Question " และวิธีการดักเตือนล่วงหน้าทำให้ต้องออกมาปฏิเสธในสิ่งที่คนธรรมดาสามัญคนไหนก็อาจจะเคยทำมาบ้างไม่มากก็น้อยเพราะความกลัวที่ว่าจะกลายเป็นการโกหก ก็เลยกลายเป็นโกหกในที่สุด : ดังเช่นคำถามตัวอย่างที่ว่า " คุณเคยโกหกเพื่อเอาตัวรอดออกจากปัญหาบ้างไหม " เราทุกคนก็คงทราบว่า พวกเราทุกคนก็เคยกันมาแล้วทั้งนั้นแหละ แม้แต่เพียงแค่การมาทำงานสาย ใครจะกล้าไปบอกเจ้านายว่ามาสายเพราะแวะไปดูร้านเสื้อที่กำลังลดราคาอยู่ เราก็ต้องบอกว่ารถติดเลยมาสาย แต่ในกรณีนี้ ถ้าเราตอบว่า " ใช่ " ขึ้นมา มันก็เท่ากับเรายอมรับว่าเราโกหกเกี่ยวกับคดีนี้ที่เรากำลังถูกยื่นฟ้องอยู่ไปเลย ดังนั้นเราก็จะต้องรู้สึกไม่สบายใจกับคำถามอย่างนี้ก่อนที่จะจำใจต้องตอบไปว่า " ไม่เคย " และผลเครื่องจับเท็จก็คงกลายเป็นว่า เราได้พูดโกหก ไปเสียแล้ว

ยิ่งอ่านเรื่องพวกนี้ และรู้ถึงนิสัยของคนของเราเป็นอย่างดี ก็จะเห็นว่าความเสียเปรีบบกับการตรวจสอบวิธีนี้กับเขามีมากกว่าคนที่กล่าวเรื่องโกหกเป็นเรืื่องปรกติธรรมดาของชีวิตแน่นอน

เราไม่ทราบว่าคำถามนั้นเป็นอย่างไร และผลจะออกมาเป็นเช่นไร แต่เรามั่นใจว่า Park Si Hoo คือผู้บริสุทธิ์ตลอดข้อกล่าวหา จะมีผู้หญิงสักกี่คในโลกนี้ที่มีคดีความที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นถึง 2 ครั้งในช่วงเวลาที่ไล่เรี่ยกันเพียง 2 ปีเท่านั้น และเมื่อครั้งแรกนั้นผ่านไปได้ด้วยดีพร้อมกับเงินก้อนโต ใครเล่าจะไม่มองหาโอกาสที่จะทำธุรกิจเช่นนี้อีกสักครั้ง และขณะนี้เราก็ได้ทราบมาอีกแล้วว่าเธอคนนั้นยังมีอาชีพเป็นผู้หญิงในคลับอีกด้วย 

เขาคือคน มีเลือดมีเนื้อ เป็นผู้ชายเต็มตัว เราจะต้องย้ำกันอีกไหมถึงหลักทางเคมีทั่วไป ที่ว่าชายหนุ่มหญิงสาว ในบ้านของเขาเอง ในคืน Valentine เช่นนั้น ถ้าเธอเป็นสาวประเภทอย่างว่าอยู่แล้ว เธอย่อมเข้าใจดีว่าผู้ชายผู้หญิงทำอะไรกันได้บ้างในเวลาตี 2 และในวันรุ่งขึ้นยังมีการแลกเบอร์โทรศัพท์และกล่าวร่ำลากันอย่างสุภาพ ตำรวจเองก็เป็นผู้ชาย เราก็หวังว่านอกจากเครื่องบ้าๆนั้นที่ไม่มีเพศและไม่มีความรู้สึกนึกถึงแล้ว พวกเขาคงจะพิจารณาความจริงจากหลักฐานที่ปรากฏมากกว่าของเล่นที่เรียกว่า Polygraph ก็แล้วกัน ....


4. Question called "Control Question" and how to make traps from denied notice of what common people could have been done more or less because of the fear that it would become a lie, finally it lies. For example of such questions is "Have you ever lied for yourself to out of trouble." We all know, we all used to do it. Even just go to working late, who 
would dare to say to the boss because I was drop by the sale clothing. I must say cause of traffic jam, but in this case, if you answered "yes" to it we be recognized that we are lying in this case. So we have to feel uncomfortable with this question before I answer that I "never" and the lie detector would become we have been lied.

More I read these stories, we will know for the habits of our man as well. You will see his disadvantage on this test compare to who always lie as her common of life.


We do not know what the question is, how the result will be but we are confident that Park Si Hoo is innocent in all charges. How many women are there in this world that have a similar case happened two times in a period of just two years after the trailers and on the first pass went well with a large fortune. Who will not be looking for any opportunity to do like this again and now we know that she was a woman working in the club as well?
He is a man with flesh and blood, completely man. We would like to emphasize that the principles of general chemistry that young man and girl in his house in Valentine night as if she was a girl like that she will well know that the man and woman will do anything in that night at 2 o’clock and the next day also exchange telephone number to each other and politely say goodbye. Police also are men, we also hope apart from that terrible machine, no sex and no feelings. They would consider the truth of the evidence presented over the toy call Polygraph.



cr:parksihoointhai

cr:Park Si Hoo 朴施厚(박시후)Thailand Fanclub,thank


***********************************************

PARK SI HOO, STAY STRONG AND FIGHT FOR JUSTICE. 

I AM SO PROUD OF YOU!!! FIGHTING!!

WE LOVE YOU, AND  SUPPORT YOU



No comments:

Post a Comment